แพ้ท้องแบบไหนอันตราย? สัญญาณเตือนที่ว่าที่คุณแม่ต้องรีบไปพบแพทย์

             อาการแพ้ท้อง ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้ วิงเวียน หรืออาเจียน ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ แต่อาการแพ้ท้องแบบไหนล่ะที่เรียกว่า “ไม่ปกติ” และเป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

 

แพ้ท้องธรรมดา กับ แพ้ท้องรุนแรง ต่างกันอย่างไร?

อาการแพ้ท้องโดยทั่วไปมักไม่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัว อ่อนเพลีย และเบื่ออาหารบ้าง แต่ยังสามารถรับประทานอาหารและดื่มน้ำได้ในปริมาณที่เพียงพอ

ในทางกลับกัน ภาวะแพ้ท้องอย่างรุนแรง เป็นภาวะที่อันตรายกว่ามาก พบได้ประมาณ 0.5-2% ของหญิงตั้งครรภ์ทั้งหมด ซึ่งคุณแม่จะมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนอย่างหนักและต่อเนื่อง จนส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างมีนัยสำคัญ

7 สัญญาณอันตราย “แพ้ท้องไม่ปกติ” ต้องรีบพบแพทย์

หากคุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการดังต่อไปนี้ อย่าลังเลที่จะไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะแพ้ท้องรุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้

  1. อาเจียนอย่างรุนแรงและต่อเนื่องมากกว่า 3-4 ครั้งต่อวัน หรืออาเจียนตลอดทั้งวันจนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
  2. รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำไม่ได้เลย ทุกครั้งที่พยายามกินหรือดื่ม จะอาเจียนออกมาจนหมด ทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารและน้ำที่เพียงพอ
  3. น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว มากกว่า 5% ของน้ำหนักเดิมก่อนตั้งครรภ์ (เช่น เคยหนัก 50 กิโลกรัม ลดลงเหลือ 47.5 กิโลกรัม) ภายในระยะเวลาสั้นๆ
  4. มีภาวะขาดน้ำ สังเกตได้จากอาการปัสสาวะน้อยลง สีปัสสาวะเข้มจัด รู้สึกวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด อ่อนเพลียมาก ปากแห้ง ตาโหล
  5. หัวใจเต้นเร็วและใจสั่น รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติแม้ในขณะพัก ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่
  6. อาเจียนมีเลือดปน หากอาเจียนออกมาเป็นสีน้ำตาลเข้มคล้ายกากกาแฟ หรือมีเลือดสดปนออกมา ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
  7. ปวดท้องรุนแรง มีอาการปวดบริเวณท้องหรือลิ้นปี่อย่างรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ

 

ภาวะแพ้ท้องรุนแรง (Hyperemesis Gravidarum) อันตรายแค่ไหน?

ภาวะแพ้ท้องรุนแรงไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคุณแม่เท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้อีกด้วย หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ ภาวะขาดสารอาหารและเกลือแร่ ทำให้คุณแม่อ่อนเพลียอย่างรุนแรงและอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารก และภาวะขาดน้ำรุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะไตวายได้ในกรณีที่รุนแรงมาก มีความเสี่ยงที่ทารกจะคลอดก่อนกำหนดและมีน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่าเกณฑ์

 

การรักษา

เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะทำการประเมินอาการและอาจมีการตรวจเลือดและปัสสาวะเพื่อดูภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ แนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ซึ่งอาจรวมถึงการให้สารน้ำและเกลือแร่ทางหลอดเลือดดำ เพื่อทดแทนส่วนที่ร่างกายสูญเสียไป ให้ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งมีทั้งในรูปแบบยารับประทานและยาฉีด การให้วิตามินเสริม เช่น วิตามินบี 6 เพื่อช่วยบรรเทาอาการ และแนะนำให้พักผ่อน ปรับเปลี่ยนอาหาร โดยให้รับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงหรือมีกลิ่นฉุน

การแพ้ท้องเป็นส่วนหนึ่งของการตั้งครรภ์ก็จริง แต่การสังเกตความผิดปกติของร่างกายและรู้ว่าเมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์คือสิ่งสำคัญที่สุด อย่าทนกับอาการแพ้ท้องที่รุนแรงจนเกินไป เพราะการดูแลสุขภาพของคุณแม่ให้แข็งแรงคือรากฐานที่สำคัญที่สุดของการมีครรภ์ที่สมบูรณ์และให้กำเนิดทารกที่แข็งแรงค่ะ

 

หากคุณกำลังมองหาสถานที่เก็บรักษาสเต็มเซลล์ที่คุณไว้วางใจได้… 

STEM CELL FOR LIFE (สเต็มเซลล์ฟอร์ไลฟ์) คือคำตอบ

 

สอบถามบริการเพิ่มเติมได้ที่ สเต็มเซลล์ฟอร์ไลฟ์ (STEM CELL FOR LIFE) เรื่องสเต็มเซลล์มั่นใจได้ที่ SCL เพราะเราเป็นธนาคารสเต็มเซลล์แห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาตการผลิตสเต็มเซลล์เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นยา จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.กระทรวงสาธารณสุข และเป็นบริษัทเดียวที่อยู่ภายใต้โรงงานเภสัชกรรมที่ได้รับ GMP มาตรฐานสากล

 

 

Hotline. 085-227-7909 24 ชั่วโมง

โทร. 0-2889-2600 จันทร์ – เสาร์ เวลา 08.00 – 17.00 น.

Email: stemcellforlife@greaterpharma.com

Line : @stemcellforlife

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *