ในร่างกายของเรามีเซลล์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “สเต็มเซลล์ (Stem Cells)”
สำหรับสเต็มเซลล์หรือเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด จะมีคุณสมบัติพิเศษ ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษคือสามารถเปลี่ยนไปเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ ในร่างกายได้ เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือเกล็ดเลือด การบริจาคสเต็มเซลล์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้ป่วยโรคร้ายแรง เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว (ลูคีเมีย) ธาลัสซีเมีย หรือโรคไขกระดูกฝ่อ เป็นต้น โดยการนำเซลล์ต้นกำเนิดไปพัฒนาเป็นเนื้อเยื่อต่าง ๆ ตามที่ผู้รับบริจาคจำเป็นต้องใช้ เซลล์ต้นกำเนิดสามารถช่วยฟื้นฟูหรือสร้างเซลล์ใหม่ที่มีความจำเพาะเพื่อทดแทนเซลล์ที่เสียหายหรือทำงานผิดปกติในร่างกายได้ โดยจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถได้รับ “เซลล์ต้นกำเนิด” ใหม่ เพื่อใช้ในการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อและสร้างระบบเลือดใหม่ให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง
การบริจาคสเต็มเซลล์อันตรายไหม ?
การบริจาคมี 2 วิธีหลัก ๆ ได้แก่
- การบริจาคทางเลือด – คล้ายกับการบริจาคเลือด โดยผู้บริจาคจะได้รับยากระตุ้นการผลิตสเต็มเซลล์ก่อน และใช้เครื่องแยกสเต็มเซลล์ออกจากเลือด
- การบริจาคจากไขกระดูก – จะใช้การดมยาสลบและเจาะไขกระดูกจากสะโพกด้านหลัง ซึ่งวิธีนี้อาจทำให้ปวดเมื่อยบริเวณที่เจาะได้ชั่วคราว
หลายคนอาจรู้สึกกังวลว่า การบริจาคสเต็มเซลล์จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพหรือไม่ ? การบริจาคสเต็มเซลล์โดยทั่วไปถือว่า มีความปลอดภัย หากได้รับการดูแลจากทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด แต่ก็ยังมีความเสี่ยงในบางกรณี ขึ้นอยู่กับวิธีการบริจาค โดยเฉพาะหากเป็นการบริจาคผ่านการเจาะไขกระดูก ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้การดมยาสลบ และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้เล็กน้อย เช่น ปวดเมื่อยบริเวณที่เจาะ หรือรู้สึกอ่อนเพลียหลังบริจาค อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่การเจาะไขสันหลัง อย่างที่หลายคนเข้าใจผิด เพียงแต่การเข้ารับกระบวนการต้องได้รับการดูแลอย่างถูกต้องตามมาตรฐานทางการแพทย์ การบริจาคจะต้องได้รับความยินยอมอย่างชัดเจนจากผู้บริจาค ซึ่งต้องมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว หรือโรคติดต่อร้ายแรงใด ๆ เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อผู้บริจาคเองและผู้ป่วยที่ได้รับ
แม้ว่าจะมีขั้นตอนและข้อควรระวังอยู่บ้าง แต่การบริจาคสเต็มเซลล์ก็เปรียบเสมือนการส่งมอบ “โอกาสรอดชีวิต” ให้กับผู้ป่วยโรคร้ายแรงที่ต้องพึ่งพาการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เป็นทางรอดสุดท้าย ดังนั้น หากคุณสนใจบริจาค แนะนำให้ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน และดูแลสุขภาพของตนเองให้พร้อมก่อนเข้ารับกระบวนการ เพื่อความปลอดภัยของทั้งสองฝ่าย และเพื่อเป็นอีกหนึ่งพลังสำคัญในการช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ การเลือกวิธีใดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้บริจาคและความต้องการของผู้ป่วย ต้องจัดเก็บโดยแพทย์ผู้เชียวชาญเป็นผู้พิจารณาและให้คำแนะนำอย่างเหมาะสม
ถ้าไม่สามารถเก็บสเต็มเซลล์เองได้ จะขอรับบริจาคได้ไหม ?
สามารถรับบริจาคได้แน่นอน แม้ผู้ป่วยจะไม่ได้เก็บสเต็มเซลล์ไว้ตั้งแต่แรกเกิด หรือไม่มีญาติพี่น้องที่สามารถบริจาคได้ ก็ยังสามารถขอรับบริจาคสเต็มเซลล์จากผู้อื่นได้ผ่านระบบธนาคารสเต็มเซลล์หรือหน่วยงานกลางที่ดูแลฐานข้อมูลผู้บริจาคสเต็มเซลล์ ในประเทศไทย หน่วยงานสำคัญ เช่น สภากาชาดไทย และ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ มีระบบเก็บข้อมูลผู้บริจาคไว้ และใช้วิธีการตรวจความเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อ (HLA Typing) เพื่อจับคู่ผู้ป่วยกับผู้บริจาคที่มีเนื้อเยื่อตรงกันมากที่สุด ช่วยให้การปลูกถ่ายมีโอกาสสำเร็จและปลอดภัยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ควรเข้าใจว่าการ ขอรับบริจาคสเต็มเซลล์นั้น โอกาสที่จะพบผู้บริจาคที่มีเนื้อเยื่อตรงกัน ค่อนข้างยากและมีข้อจำกัดมาก เนื่องจากความเข้ากันของเนื้อเยื่อระหว่างบุคคลที่ไม่ใช่ญาติสนิทนั้นมีโอกาสต่ำ และอาจทำให้การรักษาล่าช้าหรือไม่ทันต่อความจำเป็น
ดังนั้น แม้การขอรับบริจาคจะเป็นไปได้ แต่ผู้ป่วยหรือครอบครัวควรทำความเข้าใจถึง ข้อจำกัดต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น การตัดสินใจเก็บสเต็มเซลล์ไว้ตั้งแต่แรกคลอดจึงเป็นอีกทางเลือกที่ควรพิจารณา เพราะสามารถช่วยลดความเสี่ยงเรื่องความไม่เข้ากันของเนื้อเยื่อ และเพิ่มโอกาสในการรักษาได้มากขึ้นในอนาคต
หากคุณกำลังมองหาสถานที่เก็บรักษาสเต็มเซลล์ที่คุณไว้วางใจได้…
STEM CELL FOR LIFE (สเต็มเซลล์ฟอร์ไลฟ์) คือคำตอบ
สอบถามบริการเพิ่มเติมได้ที่ สเต็มเซลล์ฟอร์ไลฟ์ (STEM CELL FOR LIFE) เรื่องสเต็มเซลล์มั่นใจได้ที่ SCL เพราะเราเป็นธนาคารสเต็มเซลล์แห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาตการผลิตสเต็มเซลล์เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นยา จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.กระทรวงสาธารณสุข และเป็นบริษัทเดียวที่อยู่ภายใต้โรงงานเภสัชกรรมที่ได้รับ GMP มาตรฐานสากล
Hotline. 085-227-7909 24 ชั่วโมง
โทร. 0-2889-2600 จันทร์ – เสาร์ เวลา 08.00 – 17.00 น.
Email: stemcellforlife@greaterpharma.com
Line : @stemcellforlife