การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง ทั้งทางร่างกายและอารมณ์ของคุณแม่ ความสุขและความตื่นเต้นที่กำลังจะได้พบหน้าลูกน้อยมักมาพร้อมกับความกังวลและความเครียดในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพของทารกในครรภ์ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือความกังวลเรื่องการคลอดและการเลี้ยงดู แต่คุณแม่รู้หรือไม่ว่า “ความเครียด” ที่เกิดขึ้นนี้ อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิด ภาวะท้องแข็ง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่ร่างกายส่งออกมา และอาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่างๆ ได้
ท้องแข็งคืออะไร? ใช่เจ็บท้องคลอดหรือไม่?
ภาวะท้องแข็ง หรือทางการแพทย์เรียกว่า การหดรัดตัวของมดลูก (Uterine Contractions) คือการที่กล้ามเนื้อมดลูกมีการบีบตัว ทำให้คุณแม่รู้สึกว่าท้องตึงขึ้น แข็งเป็นก้อน เมื่อใช้มือสัมผัสจะรู้สึกได้ชัดเจน อาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้เป็นปกติในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งมักเรียกว่า การเจ็บครรภ์เตือน
ลักษณะของท้องแข็งแบบปกติ (เจ็บครรภ์เตือน)
เกิดขึ้นไม่สม่ำเสมอ ไม่ถี่ มีระยะเวลาที่เป็นแต่ละครั้งไม่นาน แล้วก็คลายตัวลง ความแรงของการบีบตัวไม่เพิ่มขึ้น และอาการมักจะดีขึ้นเมื่อเปลี่ยนอิริยาบถ เช่น ลุกเดิน หรือนอนพัก
อย่างไรก็ตาม หากอาการท้องแข็งมีความถี่มากขึ้น แรงขึ้น และสม่ำเสมอ อาจเป็นสัญญาณของภาวะที่น่ากังวล เช่น การคลอดก่อนกำหนด
ความเครียด เกี่ยวข้องกับภาวะท้องแข็งได้อย่างไร?
เมื่อคุณแม่เกิดความเครียด ไม่ว่าจะจากความกังวลใจ การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการทำงานหนัก ร่างกายจะหลั่ง ฮอร์โมนความเครียด เช่น คอร์ติซอล (Cortisol) และอะดรีนาลิน (Adrenaline) ออกมา ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่อร่างกายของคุณแม่และทารกในครรภ์ได้
ฮอร์โมนความเครียดจะไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อต่างๆ ในร่างกายเกิดการหดเกร็ง รวมถึงกล้ามเนื้อมดลูกด้วยเช่นกัน เมื่อมดลูกถูกกระตุ้นให้บีบตัวบ่อยครั้งขึ้น ก็จะนำไปสู่ภาวะท้องแข็งที่ถี่กว่าปกติได้ นอกจากความเครียดทางอารมณ์แล้ว ความเครียดทางกายภาพ เช่น การยกของหนัก การเดินเยอะ หรือภาวะขาดน้ำ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ท้องแข็งได้เช่นกัน
ภาวะท้องแข็งบ่อยแค่ไหนที่เรียกว่าเสี่ยง?
แม้ว่าอาการท้องแข็งจะเป็นเรื่องปกติ แต่หากเกิดขึ้นบ่อยครั้งและมีลักษณะที่น่าสงสัย ก็อาจเป็นสัญญาณอันตรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะคลอดก่อนกำหนด
สัญญาณเตือนที่ควรไปพบแพทย์ทันที
ท้องแข็งถี่และสม่ำเสมอ เช่น ทุกๆ 10-15 นาที และเป็นติดต่อกันนานเป็นชั่วโมง มีอาการท้องแข็งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และไม่ทุเลาลงแม้จะนอนพักแล้ว และมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีมูกเลือดหรือน้ำใสๆ ไหลออกจากช่องคลอด รู้สึกปวดหน่วงบริเวณอุ้งเชิงกราน หรือปวดหลังส่วนล่าง ลูกดิ้นน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
คำแนะนำในการดูแลตัวเองเบื้องต้น
- เปลี่ยนอิริยาบถทันที หากกำลังยืนหรือเดินอยู่ ให้ลองนั่งหรือนอนลงในท่าที่สบายที่สุด หากกำลังนั่งอยู่ ให้ลองลุกขึ้นเดินช้าๆ หรือเปลี่ยนท่านั่งท่านอนที่แนะนำ ให้นอนตะแคงซ้าย เพราะเป็นท่าที่ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปยังมดลูกและรกได้ดีที่สุด ซึ่งจะช่วยลดการบีบตัวของมดลูกได้
- ดื่มน้ำเปล่า ภาวะขาดน้ำเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่กระตุ้นให้มดลูกบีบตัว ลองดื่มน้ำเปล่าช้าๆ 1-2 แก้ว แล้วสังเกตว่าอาการดีขึ้นหรือไม่ ควรจิบน้ำให้เพียงพอตลอดทั้งวันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการนี้ขึ้นอีก
- ลองเข้าห้องน้ำ บางครั้งกระเพาะปัสสาวะที่เต็มก็ไปเบียดมดลูก ทำให้เกิดการหดรัดตัวได้ การลุกไปปัสสาวะให้เรียบร้อยอาจช่วยให้อาการท้องแข็งดีขึ้น
- ผ่อนคลายความเครียด หายใจเข้าลึกๆ และหายใจออกยาวๆ ช้าๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายและกล้ามเนื้อผ่อนคลาย อาจจะเปิดเพลงบรรเลงเบาๆ หรือนึกถึงเรื่องที่ทำให้มีความสุข เพื่อลดความวิตกกังวลซึ่งเป็นตัวกระตุ้นอาการ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือลูบบริเวณยอดมดลูก สำหรับคุณแม่บางท่าน การกระตุ้นบริเวณยอดมดลูกบ่อยๆ อาจไปเร่งให้มดลูกหดรัดตัวมากขึ้นได้ หากไม่แน่ใจควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าท้องแรงๆ หรือบ่อยเกินไป
จัดการความเครียด ลดความเสี่ยงท้องแข็ง ทำได้อย่างไร?
การดูแลสุขภาพใจให้ผ่อนคลายจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะท้องแข็งและส่งเสริมพัฒนาการที่ดีของลูกน้อยในครรภ์
- พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญมาก พยายามจัดตารางการนอนให้เป็นเวลา สร้างบรรยากาศในห้องนอนให้สงบและผ่อนคลาย
- พูดคุยระบายความกังวล อย่าเก็บความเครียดไว้คนเดียว การได้พูดคุยกับสามี คนในครอบครัว หรือเพื่อนสนิท จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้ หรืออาจปรึกษาคุณหมอที่ฝากครรภ์เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง
- ทำกิจกรรมที่สร้างความสุข หาเวลาทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ เช่น ฟังเพลงสบายๆ ดูหนังเรื่องโปรด อ่านหนังสือ หรือทำงานอดิเรกที่ช่วยให้จิตใจสงบ เช่น จัดดอกไม้ วาดรูป
- ขยับร่างกายเบาๆ การออกกำลังกายเบาๆ สำหรับคนท้อง เช่น โยคะคนท้อง การเดินเล่นในสวน หรือว่ายน้ำ จะช่วยหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (Endorphins) หรือสารแห่งความสุข ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและลดความเครียดได้
- ฝึกหายใจและทำสมาธิ การฝึกกำหนดลมหายใจเข้า-ออกลึกๆ หรือการนั่งสมาธิวันละ 5-10 นาที ช่วยให้ระบบประสาทผ่อนคลายและลดความวิตกกังวลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ใส่ใจเรื่องอาหาร รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะภาวะขาดน้ำก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ท้องแข็งได้
การตั้งครรภ์คือการเดินทางที่แสนพิเศษ การดูแลตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากคุณแม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังเครียดหรือมีอาการท้องแข็งผิดปกติ อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์
หากคุณกำลังมองหาสถานที่เก็บรักษาสเต็มเซลล์ที่คุณไว้วางใจได้…
STEM CELL FOR LIFE (สเต็มเซลล์ฟอร์ไลฟ์) คือคำตอบ
สอบถามบริการเพิ่มเติมได้ที่ สเต็มเซลล์ฟอร์ไลฟ์ (STEM CELL FOR LIFE) เรื่องสเต็มเซลล์มั่นใจได้ที่ SCL เพราะเราเป็นธนาคารสเต็มเซลล์แห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาตการผลิตสเต็มเซลล์เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นยา จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.กระทรวงสาธารณสุข และเป็นบริษัทเดียวที่อยู่ภายใต้โรงงานเภสัชกรรมที่ได้รับ GMP มาตรฐานสากล
Hotline. 085-227-7909 24 ชั่วโมง
โทร. 0-2889-2600 จันทร์ – เสาร์ เวลา 08.00 – 17.00 น.
Email: stemcellforlife@greaterpharma.com
Line : @stemcellforlife