การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายและจิตใจของคุณแม่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง…
ซึ่งหลายอาการอาจถือเป็นเรื่องปกติ เช่น คลื่นไส้ เหม็นอาหาร หรือรู้สึกเหนื่อยง่าย อย่างไรก็ตาม ยังมีบางอาการที่หากเกิดขึ้นแล้วควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อความปลอดภัยของทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์
1. แพ้ท้องรุนแรงจนรับประทานอาหารไม่ได้
แม้อาการแพ้ท้องจะเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือไม่อยากอาหาร แต่อาการแพ้ท้องที่รุนแรงจนทำให้ไม่สามารถรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำได้ตามปกติ น้ำหนักลดลง หรือมีภาวะขาดน้ำ อาจเป็นอันตรายได้ ควรเข้ารับการประเมินและพิจารณาการให้สารน้ำทางหลอดเลือด พร้อมตรวจวินิจฉัยว่าเป็นอาการของภาวะครรภ์แฝด หรือครรภ์ไข่ปลาอุกหรือไม่
2. มีเลือดออกทางช่องคลอด
เลือดออกจากช่องคลอดในช่วงตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณเล็กน้อยหรือมาก ควรเข้ารับการตรวจทันที ในไตรมาสแรก อาจเกี่ยวข้องกับการแท้งบุตรหรือท้องนอกมดลูก ส่วนในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 อาจเกิดจากภาวะรกเกาะต่ำ หรือรกลอกตัวก่อนกำหนด ซึ่งล้วนเป็นภาวะที่ต้องได้รับการดูแลโดยแพทย์ทันที
3. ปวดท้องน้อยรุนแรง
คุณแม่บางรายอาจรู้สึกตึง ๆ หรือปวดท้องน้อยบ้างในช่วงแรก ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของมดลูก แต่หากมีอาการปวดหน่วงมาก ปวดต่อเนื่อง หรือปวดร่วมกับเลือดออก อาจเป็นสัญญาณของภาวะแท้ง ภาวะแทรกซ้อน หรือมีปัญหาเกี่ยวกับอวัยวะภายใน ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยที่โรงพยาบาลทันที
4. มีไข้สูง
การติดเชื้อขณะตั้งครรภ์อาจส่งผลกระทบต่อทั้งคุณแม่และลูกในครรภ์ โดยเฉพาะหากเกิดไข้สูง ร่วมกับหนาวสั่น ปวดศีรษะ หรือปวดเมื่อย ควรให้แพทย์ตรวจหาสาเหตุ เนื่องจากการติดเชื้อบางประเภทอาจกระทบต่อพัฒนาการของทารก หรือกระตุ้นให้เกิดการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด
5. ลูกดิ้นน้อยลง หรือไม่ดิ้นเลย
หลังจากเข้าสู่ช่วงอายุครรภ์ประมาณ 20 สัปดาห์ คุณแม่จะสามารถเริ่มรู้สึกถึงการดิ้นของลูกได้ การนับลูกดิ้นเป็นวิธีสังเกตสุขภาพของทารกที่ดี หากพบว่าลูกดิ้นน้อยลง หรือไม่ดิ้นติดต่อกันนานหลายชั่วโมง ควรรีบไปตรวจทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะขาดออกซิเจนหรือเสียชีวิตในครรภ์
6. เจ็บครรภ์ก่อนกำหนด
หากมีอาการเจ็บท้องเป็นจังหวะ ร่วมกับท้องแข็ง หรือปวดร้าวไปยังหลังและทวารหนัก โดยเฉพาะก่อนอายุครรภ์ครบ 37 สัปดาห์ อาจเป็นสัญญาณของการคลอดก่อนกำหนด ควรพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจภาวะคลอดก่อนกำหนด
7. น้ำคร่ำรั่ว หรือน้ำเดิน
หากมีของเหลวใสคล้ายปัสสาวะรั่วไหลออกจากช่องคลอดอย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถกลั้นได้ อาจเป็นอาการของถุงน้ำคร่ำแตก ซึ่งถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการคลอด ควรมารับการตรวจที่โรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
8. ตัวบวม น้ำหนักขึ้นเร็ว ตาพร่ามัว ปวดศีรษะมาก
อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของภาวะครรภ์เป็นพิษ โดยเฉพาะในไตรมาสหลัง ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการดูแล อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอันตรายรุนแรงต่อทั้งมารดาและทารกในครรภ์ จำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างเร่งด่วน
9. มีตกขาวผิดปกติ หรือคันช่องคลอดมาก
แม้ตกขาวจะเป็นเรื่องปกติ แต่หากมีลักษณะเปลี่ยนไป เช่น กลิ่นเหม็น สีเขียวหรือเหลืองเข้ม หรือมีอาการคัน แสบ อาจเกิดจากการติดเชื้อในช่องคลอด ซึ่งหากปล่อยไว้อาจลุกลามหรือกระทบต่อทารกในครรภ์ได้ ควรได้รับการรักษาโดยเร็ว
10. อุบัติเหตุหรือการกระแทกบริเวณท้อง
แม้คุณแม่จะรู้สึกปกติหลังจากหกล้ม หรือท้องถูกกระแทก แต่ควรเข้ารับการตรวจ เพื่อประเมินสุขภาพของทารก เพราะอาจเกิดการบาดเจ็บต่อทารก เลือดออกภายในมดลูกหรือรกลอกตัวโดยที่ไม่แสดงอาการชัดเจน
การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ หากคุณแม่พบเจออาการผิดปกติ ไม่ควรนิ่งนอนใจหรือรอให้หายเอง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยทันที เพราะความปลอดภัยของคุณและลูกน้อยคือสิ่งที่สำคัญที่สุด หมั่นสังเกตตัวเอง และอย่าละเลยสัญญาณเตือนจากร่างกาย
หากคุณกำลังมองหาสถานที่เก็บรักษาสเต็มเซลล์ที่คุณไว้วางใจได้…
STEM CELL FOR LIFE (สเต็มเซลล์ฟอร์ไลฟ์) คือคำตอบ
สอบถามบริการเพิ่มเติมได้ที่ สเต็มเซลล์ฟอร์ไลฟ์ (STEM CELL FOR LIFE) เรื่องสเต็มเซลล์มั่นใจได้ที่ SCL เพราะเราเป็นธนาคารสเต็มเซลล์แห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาตการผลิตสเต็มเซลล์เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นยา จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.กระทรวงสาธารณสุข และเป็นบริษัทเดียวที่อยู่ภายใต้โรงงานเภสัชกรรมที่ได้รับ GMP มาตรฐานสากล
Hotline. 085-227-7909 24 ชั่วโมง
โทร. 0-2889-2600 จันทร์ – เสาร์ เวลา 08.00 – 17.00 น.
Email: stemcellforlife@greaterpharma.com
Line : @stemcellforlife