สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ การได้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของลูกน้อยในท้องเป็นครั้งแรก ถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าอัศจรรย์และสร้างความผูกพันอันลึกซึ้ง แต่คุณแม่ทราบหรือไม่ว่า การ “ดิ้น” ของทารกในครรภ์นั้น ไม่ได้เป็นเพียงการขยับตัวธรรมดา แต่ยังเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงสุขภาพและพัฒนาการของเขาได้อีกด้วย บทความนี้จะพาคุณแม่ไปทำความเข้าใจความหมายของการดิ้นในแต่ละช่วงเวลา วิธีการสังเกตและนับลูกดิ้น รวมถึงสัญญาณแบบไหนที่ควรให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ
ลูกเริ่มดิ้นเมื่อไหร่ และรู้สึกอย่างไร?
โดยทั่วไปแล้ว คุณแม่ที่ตั้งครรภ์แรกจะเริ่มรู้สึกว่าลูกดิ้นได้ในช่วงสัปดาห์ที่ 16-25 ของการตั้งครรภ์ ในช่วงแรก ๆ อาจเป็นความรู้สึกเบา ๆ คล้ายฟองอากาศแตก หรือเหมือนปลาตอดเบา ๆ ในท้องน้อย แต่สำหรับคุณแม่ที่เคยตั้งครรภ์มาก่อน อาจรู้สึกถึงการดิ้นได้เร็วกว่านั้น ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 13 เป็นต้นไป
เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น การดิ้นของทารกจะชัดเจนและแรงขึ้น คุณแม่อาจรู้สึกได้ถึงการเตะ ต่อย หมุนตัว หรือแม้แต่การสะอึก ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าระบบประสาทและกล้ามเนื้อของลูกน้อยกำลังพัฒนาไปอย่างสมบูรณ์
ลูกดิ้น บอกอะไรเราได้บ้าง?
การดิ้นของทารกเป็นเครื่องบ่งชี้ที่สำคัญถึงสุขภาพที่ดีในครรภ์ พัฒนาการที่สมบูรณ์ การเคลื่อนไหวที่สม่ำเสมอเป็นสัญญาณว่าทารกมีพัฒนาการของระบบประสาทและกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ตอบสนองต่อสิ่งเร้า ทารกอาจดิ้นตอบสนองต่อเสียงเพลง เสียงของคุณแม่ หรือการลูบสัมผัสที่หน้าท้อง ซึ่งแสดงถึงการรับรู้และการเรียนรู้ที่เริ่มพัฒนาขึ้น ความแข็งแรง โดยทั่วไปแล้ว ทารกที่ดิ้นแรงและสม่ำเสมอ มักจะมีสุขภาพที่แข็งแรง
การนับลูกดิ้น ทำไมถึงสำคัญ ?
ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 28 ของการตั้งครรภ์เป็นต้นไป คุณหมอส่วนใหญ่มักจะแนะนำให้คุณแม่เริ่ม นับลูกดิ้น อย่างสม่ำเสมอ เพราะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการประเมินสุขภาพของทารกในเบื้องต้นด้วยตัวเอง การนับลูกดิ้นจะช่วยให้คุณแม่สังเกตเห็นความผิดปกติได้รวดเร็ว หากทารกดิ้นน้อยลง อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะบางอย่าง เช่น ภาวะขาดออกซิเจน หรือสายสะดือพันกัน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างเร่งด่วน
วิธีการนับลูกดิ้นง่ายๆ
- เลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม ควรนับลูกดิ้นหลังมื้ออาหาร หรือช่วงเวลาที่ลูกมักจะดิ้นบ่อยๆ
- อยู่ในท่านั่งหรือนอนตะแคงซ้าย ท่านอนตะแคงซ้ายจะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปยังมดลูกได้ดีขึ้น ซึ่งอาจกระตุ้นให้ลูกดิ้นได้ดี
- เริ่มนับ จดบันทึกจำนวนครั้งที่ลูกดิ้น (การเตะ ต่อย หมุนตัว นับเป็น 1 ครั้ง)
เกณฑ์ปกติในการนับ
การดิ้นของทารกในแต่ละวันอาจจะไม่เท่ากัน บางวันดิ้นมากหรืออาจจะดิ้นน้อยแต่ถ้าหากพ้น 28 สัปดาห์ไปแล้วการดิ้นของทารกจะเริ่มคงที ใน 1 ชั่วโมง ลูกควรดิ้นอย่างน้อย 4 ครั้ง หากในชั่วโมงแรกลูกดิ้นไม่ถึง 4 ครั้ง: ให้ลองนับต่อในชั่วโมงที่สอง ซึ่งโดยรวมแล้ว ใน 2 ชั่วโมง ลูกควรดิ้นรวมกันไม่ต่ำกว่า 8-10 ครั้ง
สัญญาณอันตราย ที่ควรไปพบแพทย์?
คุณแม่ควรติดต่อโรงพยาบาลหรือสูติแพทย์ทันที หากสังเกตเห็นความผิดปกติดังต่อไปนี้
- ลูกดิ้นน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด หากลองนับแล้วพบว่าลูกดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้งใน 2 ชั่วโมง
- รูปแบบการดิ้นเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างกะทันหัน เช่น จากที่เคยดิ้นแรง กลายเป็นดิ้นเบา ๆ และน้อยลง
- ไม่รู้สึกว่าลูกดิ้นเลย หากคุณแม่ไม่รู้สึกว่าลูกดิ้นเลยเป็นเวลาหลายชั่วโมง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์ทันที
วิธีการกระตุ้นลูกดิ้นเบื้องต้น
หากคุณแม่รู้สึกกังวลว่าลูกไม่ค่อยดิ้น ลองใช้วิธีกระตุ้นเบา ๆ เหล่านี้ก่อนที่จะเริ่มนับลูกดิ้น
- ดื่มเครื่องดื่มเย็น ๆ หรือหวาน ๆ การดื่มน้ำเย็นจัด หรือน้ำผลไม้หวานๆ สามารถกระตุ้นให้ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณแม่สูงขึ้นชั่วคราว ซึ่งจะส่งพลังงานไปให้ทารกและอาจทำให้เขาตื่นตัวและขยับตัวได้
- เปลี่ยนอิริยาบถ ลุกขึ้นเดินสักพัก แล้วกลับมานอนในท่าตะแคงซ้าย การไหลเวียนเลือดที่ดีขึ้นอาจกระตุ้นให้ลูกเคลื่อนไหว
- ส่งเสียงหรือสัมผัส ลูบหน้าท้องเบา ๆ หรือเปิดเพลงให้ลูกฟัง บางครั้งการส่องไฟฉายไปที่หน้าท้องก็สามารถกระตุ้นการตอบสนองได้เช่นกัน
- ช่วงเวลาของวัน ทารกในครรภ์ก็มีช่วงเวลาหลับและตื่น โดยมักจะตื่นตัวและดิ้นบ่อยในช่วงกลางคืนที่คุณแม่กำลังพักผ่อน เนื่องจากไม่มีการเคลื่อนไหวของคุณแม่มากล่อมให้หลับ
ข้อควรจำ หากลองกระตุ้นแล้วลูกยังไม่ดิ้น หรือดิ้นน้อยกว่าปกติอย่างชัดเจน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ไม่ควรรอ
สิ่งที่คุณแม่ควรรู้เพิ่มเติม
ในช่วงใกล้คลอด (หลังสัปดาห์ที่ 36) พื้นที่ในมดลูกจะแคบลง ทำให้ทารกอาจจะดิ้นแรงๆ ได้น้อยลง แต่คุณแม่จะยังคงรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว การบิดตัว หรือการโก่งตัวอยู่เช่นเดิม จำนวนการดิ้นโดยรวมไม่ควรลดลง และการที่คุณแม่เครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือภาวะน้ำคร่ำน้อย ก็อาจส่งผลให้ลูกดิ้นน้อยลงได้เช่นกัน
การสังเกตการดิ้นของลูกน้อย เป็นวิธีง่ายๆ ที่คุณแม่สามารถสื่อสารและดูแลสุขภาพของดวงใจดวงน้อยๆ ในครรภ์ได้ทุกวัน อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์หากคุณแม่มีความกังวลหรือไม่แน่ใจใด ๆ เพราะความใส่ใจของคุณแม่ในวันนี้ คือรากฐานสุขภาพที่ดีของลูกในวันข้างหน้า
หากคุณกำลังมองหาสถานที่เก็บรักษาสเต็มเซลล์ที่คุณไว้วางใจได้…
STEM CELL FOR LIFE (สเต็มเซลล์ฟอร์ไลฟ์) คือคำตอบ
สอบถามบริการเพิ่มเติมได้ที่ สเต็มเซลล์ฟอร์ไลฟ์ (STEM CELL FOR LIFE) เรื่องสเต็มเซลล์มั่นใจได้ที่ SCL เพราะเราเป็นธนาคารสเต็มเซลล์แห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาตการผลิตสเต็มเซลล์เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นยา จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.กระทรวงสาธารณสุข และเป็นบริษัทเดียวที่อยู่ภายใต้โรงงานเภสัชกรรมที่ได้รับ GMP มาตรฐานสากล
Hotline. 085-227-7909 24 ชั่วโมง
โทร. 0-2889-2600 จันทร์ – เสาร์ เวลา 08.00 – 17.00 น.
Email: stemcellforlife@greaterpharma.com
Line : @stemcellforlife